Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

3 posters

    การงาน...เป็นสุข

    Admin
    Admin
    .....
    .....


    Posts : 985
    Joined : 02/02/2009
    Location : somewhere in cyber space
    Karma : 1000001

    การงาน...เป็นสุข Empty การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  Admin Fri Nov 20, 2009 9:37 am

    ช่องว่างระหว่างวัยในการทำงาน : งาน ทำงาน การทำงาน การงาน วัยทำงาน ช่อง ว่าง ระหว่าง วัย


    หนึ่งในสาเหตุของความเครียดในที่ทำงาน คือ การที่คนหลายรุ่น หลายวัย หลายความคิด ต้องมาทำงานร่วม กัน ความแตกต่างระหว่างเลขวัยที่สัมพันธ์กับเลขไมล์ของประสบการณ์ มักนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน..จนก่อตัวเป็นความขัดแย้งในที่สุด บางทีความแตกต่าง คือ กุญแจแห่งความสำเร็จ เพียงเปิดใจทำความรู้จักคนแต่ละรุ่นให้ลึกซึ้งก็จะได้พบโลกใบใหม่ที่งดงาม หลากหลาย และหากเลือกที่จะสื่อสารได้อย่างถูกช่องถูกกลุ่มก็อาจจะได้อะไรใหม่ ๆ คาดไม่ถึง ใครเป็นใครในที่ทำงาน เราจะแบ่งรุ่นของคนทำงานในที่ทำงานให้ ชัด ๆ ก่อน โดยจำแนกจากช่วงปีเกิด ซึ่งจะสัมพันธ์กับประสบการณ์ในช่วงเติบโต ทำให้เห็นยุคสมัยที่หล่อหลอมความคิดของพวกเขาได้ชัดเจนขึ้น

    กลุ่มลายคราม : คนที่เกิดก่อนปี 2498

    ลาย คราม...ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษา หรือเป็นพนักงานวัยใกล้เกษียณ คนกลุ่มนี้จะมีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย อันเนื่องมาจากประสบการณ์การทำงานอันยาวนานของพวกเขานั่นเอง คนกลุ่มนี้จะเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะยุติ จึงเติบโตมาท่ามกลางสภาพบ้านเมืองที่มีทรัพยากรที่จำกัดทำให้รู้จักคุณค่าของเงิน มักมีคุณลักษณะที่มั่นคงเชื่อใจได้ สู้งานหนัก ใช้จ่ายอย่างรู้คิด และภักดีต่อองค์กรสูง

    กลุ่ม Baby Boom: คนที่เกิดช่วงปี 2499 – 2507

    หลังสงครามยุติ ประเทศเข้าสู่ความสงบ การรณรงค์คุมกำเนิดยังไม่แพร่หลาย จึงเกิดพลเมืองตัวน้อย ๆ ขึ้นมากมาย Baby Boom เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และแข่งขันกับคนวัยเดียวกันเพื่อให้ได้งาน ยิ่งเมื่อประเทศกำลังพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ยุคความเป็นอุตสาหกรรม Baby Boom ก็ยิ่งจำเป็นต้องทำงานหนักมากขึ้น เต็มเหยียดวันละ 8 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์ ลูกจ้าง Baby Boom มักเคยชินต่อการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อให้นายจ้างยอมรับในศักยภาพ การจะก้าวไปสู่ตำแหน่งใหญ่นั้นต้องใช้เวลาและแรงผลักดันอย่างสูง

    กลุ่มGeneration–X: คนที่เกิดช่วงปี 2508 – 2523

    Generation–X ลืมตาดูโลกในช่วงเวลาที่มนุษยชาติส่งยานอวกาศออกไปนอกโลกได้สำเร็จ ของเล่นสุดฮิตของเด็กรุ่นจึงไม่ใช่ม้าโยก หรือตุ๊กตาหมีอีกต่อไป แต่เป็นวิดีโอเกม เกมกด และ Walkman พวกเขาเติบโตมาในยุครอยต่อของ Analog กับ Digital อยู่ท่ามกลางเทคโนโลยีที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ ทว่าที่สังคมเปลี่ยนแปลงในทางวัตถุนี้ กลับทำให้สถาบันครอบครัวสั่นคลอน ความภักดีต่อองค์กรของคนรุ่นนี้จึงคลายลงมาก นำมาสู่การลาออก และเปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น ไม่แปลกที่ชาว Baby Boom ผู้ไม่เคยเกี่ยงที่จะทำโอทีจนดึกดื่นจะอึ้งที่ชาว Generation–X ปฏิเสธการทำงานล่วงเวลา หรือลาออกไปหางาน สมัครงานใหม่หน้าตาเฉยหากไม่พอใจ ทั้งนี้เพราะ Generation–X เชื่อว่างานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต

    กลุ่ม Millennium: คนที่เกิดปี 2524 เป็นต้นมา

    Millennium คือ กลุ่มคนทำงานหน้าใหม่ไฟแรง แต่ยังอ่อนต่อประสบการณ์ บางคนอาจยังเรียนไม่จบเสียด้วยซ้ำ หรือบางคนมีแผนที่จะเรียนต่อ ชาว Millennium โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ รวมถึงระบบการศึกษาที่เริ่มให้ความสำคัญกับการคิดมากกว่าการท่องจำ ชาว Millennium จะมีพ่อแม่ที่มีความรู้สูง จึงให้การสนับสนุนให้ Millennium ได้เสริมทักษะด้านต่าง ๆ ตั้งแต่เด็ก ฉะนั้น Millennium จึงชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และสนุกกับการทำงานเป็นทีม ไม่ชอบอยู่ในกรอบ และไม่ชอบเงื่อนไข ในขณะที่ ชาว Generation-X เปลี่ยนงานครั้งที่ 12 เพื่อเป็นผู้บริหารระดับสูงกินเงินเดือนเรือนแสน แต่ชาว Millennium จะลาออกไปเริ่มธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง

    สลายช่องว่างสร้างความเข้าใจ

    เมื่อ เข้าใจอย่างท่องแท้แล้วว่า ใครมีค่านิยมในชีวิตอย่างไร ใคร ๆ ก็สามารถสร้างสะพานข้ามช่องว่าง เพื่อข้ามไปหากันได้สูตรสร้างสะพานข้ามช่องว่างระหว่างวัยมีอยู่ 3 ขั้นตอน

    1. เข้า ใจถึงความแตกต่าง ยอมรับว่าคนเราถูกหล่อหลอมมาไม่เหมือนกัน คนที่มีความเชื่อ หรือทัศนคติต่อชีวิตไม่เหมือนคุณ เขาไม่ใช่คนไม่ดีเสมอไป

    2. ชื่นชมจุดดี แทนที่จะต่อต้าน ให้เราลองมองหาจุดเด่นของคนในแต่ละกลุ่มให้พบ

    3. บริหารความแตกต่าง เปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้เข้าถึงคนแต่ละกลุ่มที่เราต้องทำงานด้วย

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ทำงานกับกลุ่มลายคราม

    จง ให้เกียรติและให้ความเคารพอย่างสูงต่อพวกเขา เมื่อคุณให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็จะให้เกียรติคุณ แล้วถ้าบังเอิญคุณมีตำแหน่งสูงกว่าพวกเขา จงแสดงความชื่นชมต่อเขาในด้านการเป็นเสาหลักขององค์การ และจงรับฟังเมื่อพวกเขาถ่ายทอดประสบการณ์ในอดีต การต่อสู้ ความพากเพียรในการทำงานจน ผ่านพ้นความยากลำบากมาได้ เพราะสิ่งนั้นคือ สิ่งที่คนรุ่นหลังไม่มี และไม่รู้จัก อย่ามองว่า..กลุ่มลายครามคือ หมาล่าเนื้อไม่มีที่ไป แต่การที่พวกเขาทำงานอยู่จนถึงวัยเกษียณนั้น เป็นเพราะพวกเขา เชื่อในคุณค่าของความมั่นคง และถือความซื่อสัตย์เป็นที่สุด

    ทำงานกับกลุ่ม Baby Boom


    จงแสดงความนับถือ รับฟัง และเรียนรู้จากประสบการณ์ของ Baby Boom แล้ว พยายามปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจแค่ไหน หรือคุณจะประสบความสำเร็จเพียงใด คุณก็ยังต้องเรียนรู้อยู่เสมอ อย่าแสดงออกว่าการทำงานหนัก คือ การถูกเอาเปรียบ เพราะ Baby Boom ให้ ความสำคัญต่อหลักการทำงาน ยึดถือวัฒนธรรมองค์การ และเห็นคุณค่าต่อการทำงานอย่างทุ่มเท หากต้องทำงานในองค์กรใหญ่ ๆ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ซึ่งบริหารงานโดย Baby Boom ควรพยายามเรียนรู้ วัฒนธรรมองค์กรเสียก่อนว่ามีการเจริญเติบโตมาอย่างไร ก่อนที่จะเสนอความคิดริเริ่มเพื่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แก่ Baby Boom

    ทำงานกับกลุ่ม Generation–X

    ต้องพูดให้กระชับ ชัดเจน และไม่อ้อมค้อม เพราะ Generation–X ชอบความตรงไปตรงมา คุณสามารถใช้ Email กลับคนกลุ่มนี้ได้ หากคุณสามารถสื่อสารได้ใจความและตรงเป้าหมาย หากเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ควรพูดต่อหน้าเพราะ Generation–X ไม่ชอบถูกบงการ ผู้ใหญ่แค่ให้นโยบายกว้าง ๆ เปิดโอกาสให้เขาได้แก้ปัญหาเองจะดีที่สุด

    ส่วน Baby Boom ควรลดความคาดหวังต่อ Generation–X ในการทำงานหนัก อย่างหนักโดยไม่มีวันหยุด หรือก้าวไปอย่างช้า ๆ อย่างรุ่นตน เพราะ Generation–X ต้องการชีวิตที่สมดุล ไม่ชอบการอยู่ติดที่

    ทำงานกับกลุ่ม Millennium

    ลองท้าทายพวกเขาด้วยภารกิจใหม่ ๆ Millennium จะชอบความเป็นคนสำคัญ การเพิ่มความรับผิดชอบเสมือนการให้คำชม จงเปิดโอกาสให้ Millennium ได้แสดงความคิดเห็นของเขา เห็นพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในทีม ผู้ใหญ่ที่ยอมรับความคิดเขา ก็จะได้รับการยอมรับจากพวกเขาเช่นกัน Millennium ชอบให้คุณแสดงออกต่อสิ่งที่พวกเขาทำทุกขณะจิต เพราะความรู้สึกและความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานมีผลต่อพวกเขามาก



    แค่เข้าใจ..ทุกอย่างก็ลงตัว


    แก้ไขล่าสุดโดย Admin เมื่อ Mon Nov 23, 2009 10:37 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
    mom007
    mom007
    ...
    ...


    Posts : 60
    Joined : 19/11/2009
    Karma : 1

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  mom007 Fri Nov 20, 2009 1:27 pm

    Very Happy Very Happy เริ่ด....ได้ความรู้มุมมองที่ทำลายอคติ...สร้างทัศนคติทางบวกให้เรา sunny sunny
    Admin
    Admin
    .....
    .....


    Posts : 985
    Joined : 02/02/2009
    Location : somewhere in cyber space
    Karma : 1000001

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  Admin Mon Nov 23, 2009 10:41 am

    มุมมองต่างชาติกับการทำงานแบบไทย


    ลองดูมุมมองจากฝรั่งทั้ง 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า :

    1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง

    คน ไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมืออย่างเต็มที่ หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี

    - เจฟฟรีย์ บาร์น


    2. การโต้แย้ง

    เมื่อ มีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า " ขี้เกรงใจ " แต่สำหรับฝรั่งแล้วนิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร

    - ทานากะ โรบิน ( จูเนียร์ ) ฟูจิฮาระ


    3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด

    เอกลักษณ์ อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้ว เลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร

    - ไมเคิล วิดฟิล์ค


    4. ความรับผิดชอบ

    1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนาน ก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร

    2. ไม่ค่อยยอมผูกพัน และรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำ คนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก

    - สเตฟานี จอห์นสัน


    5. วิธีแก้ไขปัญหา

    คน ไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับ เวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อน แล้วค่อยทำตามถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด

    - ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก


    6. บอกแต่ข่าวดี

    คนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ

    1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา

    2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริง หรือถ้าหากเจ้านายถามว่าจะทำงานเสร็จทันเวลาไหม ก็จะบอกว่าทัน ( เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้ ) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย

    - โจนาธาน ธอมพ์สัน


    7. คำว่า " ไม่เป็นไร "

    เป็น คำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วย เพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่า " ไม่เป็นไร " มาแก้ปัญญหาแทน

    - เจนิส อิกนาโรห์


    8. ทักษะในการทำงาน

    1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกัน บางคนขยัน แต่บางคนไม่ทำอะไรเลย บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกัน จนผลงานไม่คืบหน้า

    2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด

    3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวของ โลกเท่าไรนัก และไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม

    - เดวิด กิลเบิร์ก


    9. ความซื่อสัตย์

    พนักงาน คนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย ขาดงาน โดยอ้างว่าป่วย
    ออกไปข้างนอกในเวลางาน

    - เฮเบิร์ก โอ ลิสส์


    10. ระบบพวกพ้อง

    คน ไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ
    Admin
    Admin
    .....
    .....


    Posts : 985
    Joined : 02/02/2009
    Location : somewhere in cyber space
    Karma : 1000001

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  Admin Mon Jan 11, 2010 10:48 am

    ... good thoughts to keep in mind‏ (Best e-mail of 2009)

    การงาน...เป็นสุข Goodthought
    mom007
    mom007
    ...
    ...


    Posts : 60
    Joined : 19/11/2009
    Karma : 1

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  mom007 Tue Jan 12, 2010 7:58 pm

    เป็นข้อคิดที่ถูกใจจริงๆค่ะ ทำให้รู้สึกตัวเลยว่าชีวิตเราดำเนินไปอย่างนั้น
    Admin
    Admin
    .....
    .....


    Posts : 985
    Joined : 02/02/2009
    Location : somewhere in cyber space
    Karma : 1000001

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  Admin Tue Jan 26, 2010 2:14 pm

    ความพอดี นี่ดูเป็นคำง่ายๆ แต่ทำไม่ง่ายเลย

    ลองดู ชีวิตที่พอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก : วอร์เรน บัพเฟตต์ ( Warren Buffet )

    การงาน...เป็นสุข 2009-09-06-1512030-ATT00000

    มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของ สถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก ( รองจากบิล เกตส์ ) ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศลถึง 31,000 ล้านดอลล่าร์ ( เป็นเงินไทยก็ราวๆ 1,000,000,000,000 อ่านว่า 1 ล้าน ล้านบาท โอ้แม่เจ้า ! )

    ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา :

    1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป !

    2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์

    3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม

    4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน

    5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ

    7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ
    กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย
    กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1

    Cool เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกิน และดูโทรทัศน์

    9) บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์

    10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน

    11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า : จงหลีกห่างจากบัตรเครดิต และลงทุนในตัวคุณเอง

    ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย ๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง

    มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม 1 มื้อ เท่ากัน
    มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน
    มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน
    มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน
    Teddy Bear
    Teddy Bear
    ...
    ...


    Posts : 60
    Joined : 03/02/2009
    Karma : 0

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  Teddy Bear Tue Jan 26, 2010 4:46 pm

    เฮ้อ ดีจัง แต่ก็อยากรวยอยู่ดีแหละ
    Admin
    Admin
    .....
    .....


    Posts : 985
    Joined : 02/02/2009
    Location : somewhere in cyber space
    Karma : 1000001

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  Admin Thu Jan 28, 2010 1:22 pm

    Teddy Bear พิมพ์ว่า:เฮ้อ ดีจัง แต่ก็อยากรวยอยู่ดีแหละ

    เลย ต้องมี ฉลากกินแบ่ง... หวยออนไลน์ ไง Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy
    Admin
    Admin
    .....
    .....


    Posts : 985
    Joined : 02/02/2009
    Location : somewhere in cyber space
    Karma : 1000001

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  Admin Fri Feb 19, 2010 9:43 am

    ปริญญาสองใบ
    E-mail จากคุณพ่อ เฟย์


    ปริญญาสองใบ...น่าอ่าน

    ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
    คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก
    เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน
    ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร
    มาเรียนที่อเมริกา
    เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
    ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน
    ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู
    ว่าสะอาดจริงมั้ย
    กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
    มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
    ต้องให้ดีที่สุด
    เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน
    แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
    แกเสนอแผนที่สอง
    แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
    ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย แกมีบ้าน
    มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ
    มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง
    วันหนึ่งแกพักผ่อน
    หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ลุกเมียไปขอพบ
    บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต
    วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป
    ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็ง
    พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ
    เค้าก็เตือนตลอด
    แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
    แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
    แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน บันทึกชีวิตแก
    ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว
    แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
    กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก
    ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
    พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ
    ปริญญาใบที่หนึ่ง ' ปริญญาวิชาชีพ ' เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น
    พูดง่าย ๆ
    ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง
    แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ แต่ ' ปริญญาวิชาชีวิต '
    ปริญญาใบที่สอง ' ปริญญาวิชาชีวิต ' คือวิชาธรรมะ
    สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง

    ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
    แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง
    ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ
    แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร
    เพราะทำงานจนป่วยตาย
    ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง
    บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยา
    แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
    ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา
    สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้
    สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
    เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย
    นี่คือปริญญาวิชาชีวิต
    ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ
    เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง
    ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
    ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว
    อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ
    แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง
    ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์
    มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
    แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่า
    พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ
    เพื่อที่ว่าอะไร
    เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต
    หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
    เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง
    มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่
    แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
    คือวิชาธรรมะ
    สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง
    ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป
    ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข
    อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก
    อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
    ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
    อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด
    และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี เพราะอะไร
    เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา
    เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า
    ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด บางคนก็ตอบเงิน
    บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง
    บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์
    พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต
    สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
    คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ
    และก็ชีวิตของเรา
    Admin
    Admin
    .....
    .....


    Posts : 985
    Joined : 02/02/2009
    Location : somewhere in cyber space
    Karma : 1000001

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  Admin Fri Feb 19, 2010 9:48 am

    ข้อคิด คำคม ตามแบบขงเบ้ง
    E-mail จากคุณพ่อ เฟย์




    ถ้าเป็นกษัตริย์แล้ว ไม่โลภ ก็เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้


    เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร


    ถ้าเป็นนักบวชแล้ว โลภ ก็เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้


    คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม


    เมื่อ เสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลีกใส่ปีกหาง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ


    เมื่อ ใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้


    ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย


    เมื่อ สุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี


    ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องไห้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี


    อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล


    เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"


    ผู้ที่ ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น


    การ บริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่


    เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน


    อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม


    ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน


    น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น


    มียอดขุนพล มีคนฉลาด แต่หากชิงผลประโยชน์ก่อกวนกันเอง ย่อมมิอาจครองแผ่นดิน


    ฉลาด แต่เข้าข้างคนผิด ชีวิตก็บัดซบ ฉลาดแต่เข้ากับใครไม่ได้ ก็ไร้ประโยชน์ ฉลาดแต่ขาดคุณธรรม ไม่ทำให้เจริญ
    mom007
    mom007
    ...
    ...


    Posts : 60
    Joined : 19/11/2009
    Karma : 1

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  mom007 Fri Feb 19, 2010 5:21 pm

    Admin พิมพ์ว่า:ปริญญาสองใบ
    E-mail จากคุณพ่อ เฟย์ [/color][/size]

    ให้ข้อคิด น่าใช้ดีมากค่ะ

    ปริญญาใบที่2ยากจัง

    ส่วนของท่านขงเบ้ง ประโยคแรกยังงงอยู่
    Admin
    Admin
    .....
    .....


    Posts : 985
    Joined : 02/02/2009
    Location : somewhere in cyber space
    Karma : 1000001

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  Admin Mon Feb 22, 2010 2:51 pm

    คงเป็น กษัตริย์ สมัยล่าอาณานิคมน่ะ Very Happy Very Happy Very Happy Very Happy
    mom007
    mom007
    ...
    ...


    Posts : 60
    Joined : 19/11/2009
    Karma : 1

    การงาน...เป็นสุข Empty Re: การงาน...เป็นสุข

    ตั้งหัวข้อ  mom007 Tue Feb 23, 2010 2:31 am

    คงเป็นอย่างคุณแอดมินว่า

    ขอบคุณ คุณพ่อเฟย์ที่ให้ความรู้ดีๆค่ะ

    และน่าดีใจมีคนเข้ามาพร้อมกันตั้ง61คน

    เว็ปนี้ดีมากๆ


    คำคมของท่านขงเบ้งในรูปวิดีโอคล้ายของคุณพ่อเฟย์(อยากได้ของสุมาอี้เหมือนกันใครมีบ้างคะ)

    เครดิต:youtube


      เวลาขณะนี้ Thu Mar 28, 2024 5:52 pm